คำถามที่พบบ่อย

 

ภาระหน้าที่ของโพธิสัตว์จากพื้นโลกคืออะไร?

ภาระหน้าที่ของโพธิสัตว์จากพื้นโลก ถ้ากล่าวอย่างกระชับสั้น ๆ ก็คือการยึดถือธรรมมหัศจรรย์ ซึ่งเป็นธรรมะที่สูงส่งที่สุด เพื่อทำการช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง โดยเข้าสู่สังคมที่เป็นจริง และช่วยกันสร้างโลกให้ราบรื่นปลอดภัยและสันติที่ไม่พังทลายชั่วนิรันดร์

แม้จะเรียกโพธิสัตว์จากพื้นโลก แต่มิได้อยู่ในโลกไหนที่ไกลออกไปหรือเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษเหนือบุคคลทั่วไป ในธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนิน หน้า 1360 กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่สวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียวในสมัยธรรมปลาย ไม่ว่าหญิงหรือชาย ทั้งหมดคือโพธิสัตว์จากพื้นโลก”

สมาชิกของสมาคมที่ต่อสู้เพื่อความราบรื่นปลอดภัยและสันติสุขของสังคม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันในหมู่เพื่อนสมาชิก มุ่งมั่นในการเผยแผ่ธรรมและชักชวนแนะนำธรรม เพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลนั้น ก็คือโพธิสัตว์จากพื้นโลกนั่นเอง

▲ กลับไปข้างบน

 

แนวคิดของ “ระฆัง 7 ใบ” คืออะไร?

ตอนที่อาจารย์โทดะ ประธานสมาคมฯ ท่านที่ 2 มีชีวิตอยู่ ท่านได้กล่าวไว้ว่า “สมาคมได้ตีระฆังแห่งการเผยแผ่ธรรมทุก ๆ 7 ปี (สมาคมมีการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ โดยมีระยะเวลาช่วงละ 7 ปี) จงมุ่งสู่ระฆังใบที่ 7 และตีให้ดังกังวานกันเถิด !”

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่อาจารย์โทดะเสียชีวิตลง ในปี ค.ศ. 1958 วันที่ 3 พฤษภาคม ก็ได้มีการจัดประชุมใหญ่ระดับภาคขึ้น ขณะนั้น อาจารย์อิเคดะซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานของคณะยุวชน ได้พิจารณาไตร่ตรองถึงโครงการที่จะมอบความหวังให้กับสมาชิกที่ยังมีความกังวลต่ออนาคต จึงได้ประกาศแนวคิด “ระฆัง 7 ใบ” ขึ้นมาในที่ประชุมดังกล่าว

นับตั้งแต่สมาคมได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา ก็สามารถพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาโดยตลอดในทุก ๆ ช่วง 7 ปี คือ

  • “ระฆังใบที่ 1” ช่วงเวลา 7 ปี นับตั้งแต่ปีก่อตั้ง คือปี ค.ศ. 1930 จนถึง ค.ศ. 1937 ซึ่งมีการจัดพิมพ์หนังสือทฤษฎีการศึกษาสร้างคุณค่า นับเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสมาคมการศึกษาสร้างคุณค่า (โซคาเคียวอิขุ งักไก)
  • “ระฆังใบที่ 2” ช่วงเวลา 7 ปีต่อมา จนถึงปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นปีที่อาจารย์มาคิงุจิ ประธานสมาคมฯ ท่านแรกได้ล่วงลับไป
  • “ระฆังใบที่ 3” ช่วงเวลาอีก 7 ปีต่อมา จนถึงปี ค.ศ. 1951 ซึ่งเป็นปีที่อาจารย์โจเซอิ โทดะ เข้ารับตำแหน่งประธานสมาคมฯ ท่านที่
  • “ระฆังใบที่ 4” ช่วงเวลาอีก 7 ปีต่อมา จนถึงปี ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นปีที่อาจารย์โจเซอิ โทดะ ประธานสมาคมฯ ท่านที่ 2 ล่วงลับไป
  • “ระฆังใบที่ 5” เป็นช่วงเวลาที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการเพิ่มจำนวนสมาชิก 3 ล้านครอบครัว ตามพินัยกรรมของอาจารย์โทดะได้ชี้แนะไว้ โดยมุ่งในโอกาสครบรอบ 7 ปีของการมรณกรรมของอาจารย์โทดะ
    อนึ่ง ตอนที่อาจารย์อิเคดะได้เสนอแนวคิด “ระฆัง 7 ใบ” นั้น เป็นช่วงเวลาที่เริ่มต้นของ “ระฆังใบที่ 5” นี้ด้วย
  • “ระฆังใบที่ 6” เป้าหมายของอีก 7 ปีที่จะมาถึงก็คือ จะต้องมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 6 ล้านครอบครัว
  • “ระฆังใบที่ 7” ในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของระฆังใบที่ 7 นั้นการก่อสร้างมหาวิหารโชฮนโดได้สำเร็จเสร็จสิ้นลง และยังมีเป้าหมายอีกว่า จะสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของการเผยแผ่ธรรมไพศาลของประเทศญี่ปุ่นภายในปี ค.ศ. 1979 ซึ่งเป็นปีที่ระฆังทั้ง 7 ใบสิ้นสุดลง

หลังจากที่ได้มีการประกาศโครงการและเป้าหมาย ตั้งแต่ “ระฆังใบที่ 5” เป็นต้นไป แสงประทีปแห่งความหวังในหัวใจของสมาชิกในญี่ปุ่นทั้งหมดก็ลุกโชนขึ้น แนวคิดและโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว ก็ได้ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาภายใต้การบัญชาการของอาจารย์อิเคดะ

▲ กลับไปข้างบน

 

ในต่างประเทศมีการศึกษาค้นคว้ากันอย่างไร?

สมาชิกเอสจีไอในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้ทำการศึกษาค้นคว้าพุทธธรรมที่ยิ่งใหญ่ของพระนิชิเร็นไดโชนิน โดยได้แปลเป็นภาษาของแต่ละประเทศ ในปัจจุบันมี “ธรรมนิพนธ์ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ” และ “หนังสือรวมธรรมนิพนธ์ทั้งหมดฉบับภาษาจีน” ยิ่งกว่านี้ ก็ยังมีฉบับภาษาฝรั่งเศส ฉบับภาษาเกาหลี ฉบับภาษาโปรตุเกส ฉบับภาษาสเปน และฉบับภาษาอิตาลี เป็นต้น

การที่ธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนินได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ จำนวนมากเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ของพุทธธรรมแล้ว

สมาคมโซคาได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามพินัยกรรมของพระนิกโคโชนินที่มีใจความว่า “ธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนินนั้น เมื่อถึงกาลเวลาแห่งการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว จะมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ และแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก” (ธรรมนิพนธ์หน้า 1613)

▲ กลับไปข้างบน

 

ธงสามสีที่ปักอยู่ตามอาคารสมาคมนั้น มีความหมายอย่างไร?

ธงสามสีของสมาคมโซคาถูกออกแบบขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยการนำเสนอของอาจารย์อิเคดะ ในการประชุมระดับหัวหน้าฝ่ายผู้ใหญ่หญิงครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1988 ว่า “ขอให้ออกแบบธงที่สอดคล้องกับยุคสมัย ในลักษณะที่มีความสดใสและสว่างไสว” 3 สีของธงคือ “แดง” “เหลือง” และ “น้ำเงิน” นั้น ก็มีความหมายหลายอย่างด้วยกัน

สำหรับสมาคมโซคาได้แสดงออกถึงความหมายของสี ดังนั้น สีแดง หมายถึง “ชัยชนะ” สีเหลือง หมายถึง “รุ่งโรจน์” สีน้ำเงิน หมายถึง “สันติภาพ”

สำหรับคณะผู้ใหญ่หญิงแล้ว สีแดงหมายถึง “ความสุขและสามัคคี” สีเหลืองหมายถึง “ใฝ่หาธรรม” และสีน้ำเงินหมายถึง “บุญกุศล”

▲ กลับไปข้างบน

 

เจตนารมณ์ที่สำคัญซึ่งมีอยู่ใน “วิชาการศึกษาสร้างคุณค่า” คืออะไรและได้รับการยอมรับอย่างไร?

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นเดินอยู่บนหนทางของลัทธิชาตินิยม มีการศึกษาที่คิดเพียงแค่ว่า “เพื่อชาติ” เท่านั้น และตัววิชาการศึกษาเองก็เป็นเรื่องที่ห่างไกลจากการศึกษา ณ สถานที่ปฏิบัติงานจริง เป็นวิชาความรู้ที่เป็นนามธรรม

ท่ามกลางยุคสมัยดังกล่าว อาจารย์จึเนะซาบุโร่ มาคิงุจิ ประธานสมาคมท่านแรกได้เรียกร้องว่า เป้าหมายการศึกษานั้น ควรจะต้องเป็นไปเพื่อ “ความสุขของเด็ก” และชี้ให้เห็นถึง “วิชาการศึกษาเพื่อการปฏิบัติ” ที่จะเป็นพลังในการแก้ไขปัญหาที่เป็นจริงได้ ซึ่งถือได้ว่า เป็นแถลงการณ์แห่งการปฏิวัติการศึกษา

ดังที่อาจารย์มาคิงุจิกล่าวว่า “การศึกษาไม่ใช่การขายความรู้เป็นชิ้น ๆ หรือเป็นการบรรจุความรู้เข้าไป แต่เป็นการทำให้เข้าใจถึงการเรียนรู้ด้วยพลังของตนเอง เป็นการมอบกุญแจให้ไปเปิดคลังแห่งความรู้” ฉะนั้น สามารถกล่าวได้ว่า วิชาการศึกษาสร้างคุณค่านั้น เป็นการศึกษาเพื่อมนุษย์ ซึ่งจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเปิดประตูปัญญาให้กับเด็ก และพัฒนาความสามารถในการสร้างชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยตัวของพวกเด็ก ๆ เอง

อาจารย์โทดะ ประธานสมาคมฯ ท่านที่ 2 กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ขณะนี้ ‘วิชาการศึกษาสร้างคุณค่า’ แม้จะยังไม่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นปรัชญาแห่งโลก แต่ 50 ปีผ่านไป บรรดาปัญญาชนแห่งโลกก็จะต้องยกย่องชมเชยถึงลักษณะมองการณ์ไกลของวิชาการศึกษาสร้างคุณค่าอย่างแน่นอน” และในวาระที่ระลึกครบ 10 รอบของการมรณกรรมของอาจารย์มาคิงุจิ อาจารย์โทดะได้ทำการแก้ไขเพิ่มเติมด้วยตนเอง และจัดพิมพ์ “ทฤษฎีสร้างคุณค่า” (ซึ่งมีระบบวิชาการศึกษาสร้างคุณค่า เล่มที่ 2 อยู่ด้วย) ขึ้นมา และได้มอบให้กับสถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในโลก

นอกจากนี้ อาจารย์ไดซาขุ อิเคดะ ประธานสมาคมฯ ท่านที่ 3 ยังปรารถนาที่จะให้แนวความคิดเหล่านี้เผยแพร่ไปทั่วโลก “ระบบวิชาการศึกษาสร้างคุณค่า” จึงได้เริ่มแปลและจัดพิมพ์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาโปรตุเกส ภาษาเวียตนาม ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษาฮินติ และภาษาอิตาลี และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง

ปัจจุบันมีโรงเรียนที่นำ “วิชาการศึกษาสร้างคุณค่า” ไปปฏิบัติอยู่ในบราซิลมากกว่า 100 โรงเรียน ที่อเมริกาก็ได้นำไปปฏิบัติที่ “โรงเรียนเรอเนซองส์” และในศูนย์การศึกษาเด็กเล็ก ของ จอห์น ดิววี่ ที่ประเทศปานามาด้วย

นอกจากนี้ มีการมอบรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณยกย่อง อาจารย์มาคิงุจิ อาจารย์โทดะ และอาจารย์อิเคดะ จากทั่วโลกอย่างมากมายว่า เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่แห่งการศึกษาเพื่อมนุษย์

▲ กลับไปข้างบน

 

การเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพของสมาคมโซคาเป็นอย่างไร?

สมาคมโซคาดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างสันติภาพอย่างต่อเนื่องโดยมีฝ่ายยุวชนชาย-หญิงเป็นผู้ปฏิบัติหลัก

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1973 ฝ่ายยุวชนชาย-หญิงได้จัดตั้ง “สมัชชายุวชนปกป้องสิทธิในการดำรงชีวิต” ซึ่งภายหลักได้พัฒนาเป็น “สมัชชายุวชนโซคาเพื่อสันติภาพ” เริ่มต้นทำการเคลื่อนไหวโดยรับเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม

นอกจากนี้ ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงฤดูร้อนในปีถัดไป ได้ทำการเคลื่อนไหว “รวบรวมรายชื่อ 10 ล้านคนเพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์” และในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 อาจารย์อิเคดะก็ได้ยื่นรวบรวมรายชื่อเหล่านี้ต่อสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติด้วยมือของท่านเอง

ยิ่งกว่านั้น ยังได้ดำเนินกิจกรรมในการจัดพิมพ์หนังสือต่อต้านสงครามของผู้มีประสบการณ์สงคราม ให้แก่คนรุ่นหลังมาตลอดมากกว่า 100 เล่ม เช่น ฝ่ายยุวชนชาย-หญิงได้จัดทำหนังสือเรื่อง “มอบแด่คนในสมัยที่ไม่รู้จักสงคราม” ออกมาเป็นตอน ๆ ต่อเนื่องกันจำนวน 80 ตอน (เล่ม) ฝ่ายผู้ใหญ่หญิงก็ได้ทำหนังสือเรื่อง “ข้อเรียกร้องเพื่อสันติภาพ” ออกมาเป็นตอน ๆ เช่นกัน จำนวน 20 ตอน (เล่ม) เป็นต้น

ทางสมาคมโซคา นอกจากจะช่วยเหลือและสนับสนุนองค์การสหประชาชาติอย่างกระตือรือร้นเพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลก ในฐานะที่เป็นเอ็นจีโอ (องค์กรพัฒนาเอกชนของสหประชาชาติ) ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) และเอ็นจีโอของศูนย์ประชาสัมพันธ์สหประชาชาติ (ยูเอ็นไอซี) แล้ว ทางสมาคมโซคาสากล (เอสจีไอ) ยังได้ดำเนินการในฐานะเป็นเอ็นจีโอของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติอีกด้วย

การเคลื่อนไหวดังกล่าว ได้ดำเนินการไปในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การลดอาวุธนิวเคลียร์ การศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน การปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ตัวแทนเอสจีไอได้เข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน ในระหว่างผู้เกี่ยวข้องแต่ละประเทศ เช่น “การประชุมสิทธิมนุษยชนโลก” “การประชุมเพื่อลดอาวุธของสหประชาชาติเกียวโต” “การประชุมเพื่อลดอาวุธของสหประชาชาติที่ฮิโรชิม่า” เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวเพื่อเสริมความเข้าใจโดยผ่านการจัดงานนิทรรศการ “งานนิทรรศการการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์” ซึ่งได้จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 โดยเปิดการแสดงใน 24 ประเทศ 39 เมือง มีผู้เข้าชมประมาณ 1,700,000 คน [ที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ได้จัดนิทรรศการ “อาวุธนิวเคลียร์-ภัยคุกคามโลก” ที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย ร่วมกับองค์กรเอสจีไอ องค์การสหประชาชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย] และได้จัดงานแสดงนิทรรศการ “สิทธิมนุษยชนโลกในปัจจุบัน”เพื่อเป็นการสนับสนุน “10 ปีแห่งการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน” ขององค์การสหประชาชาติ ตามสถานที่ต่าง ๆ รวม 8 ประเทศ 40 เมืองหมุนเวียนกันไป เช่น ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติบุโรป เมืองเจนีวา กรุงโรม และเมืองมอนตาริโอ เป็นต้น

คำถามที่พบบ่อยทั้งหมด

▲ กลับไปข้างบน

วารสารสู่ความสุข